สารคดี พลังความมืด กับ สุริยุปราคา
พลังความมืด กับ สุริยุปราคา
นักดาราศาสตร์ในอดีตนั้นคิดว่าตนได้เข้าใจว่าจักรวาลเกิดจากอะไร อย่างแรกคือ วัตถุ ซึ่งเกิดจากดวงดาวและกาแล็กซี่ที่ส่องสว่างอยู่บนท้องฟ้า และต่อมาคือ วัตถุดำมืด ที่ไม่สามารถอธิบายถึงสาเหตุที่มันไม่มีแสง แต่เรารู้ว่า มันเกิดจากแรงโน้มถ่วงที่คอยดึง มีเพียงนักดาราศาสตร์ยุคปัจจุบันที่ค้นพบว่าจักรวาลที่เราอยู่นั้นเป็นจักรวาลลำดับที่ 3 และไม่ได้เกี่ยวข้องกับวัตถุใดๆเลย ปรากฏการณ์อันน่าปริศนานี้ อาจเกิดจากจักรวาลอันว่างเปล่า
พลังงานมืด (อังกฤษ: Dark energy) คือพลังงานในสมมุติฐานที่แผ่อยู่ทั่วไปในอวกาศและมีแนวโน้มจะเพิ่มสูงขึ้นตามอัตราการขยายตัวของเอกภพ พลังงานมืดเป็นวิธีที่นิยมมากที่สุดในการใช้อธิบายถึงผลสังเกตการณ์และการทดลองมากมายอันแสดงถึงลักษณะที่เอกภพปรากฏตัวอยู่ในลักษณะการขยายตัวออกอย่างมีอัตราเร่ง ในแบบจำลองมาตรฐานของจักรวาลวิทยา มีพลังงานมืดอยู่ในเอกภพปัจจุบันเป็นจำนวน 74%ของมวล-พลังงานรวมทั้งหมดในเอกภพ
รูปแบบของพลังงานมืดที่นำเสนอกันมีอยู่ 2 รูปแบบ คือ ค่าคงที่จักรวาลวิทยา (cosmological constant) อันเป็นค่าความหนาแน่นพลังงาน “คงที่” ที่แผ่อยู่ในอวกาศอย่างสม่ำเสมอ กับทฤษฎีสนามสเกลาร์ (Scalar field theory) เช่นควินเตสเซนส์หรือโมดูลิ อันเป็นปริมาณที่มีการ “เปลี่ยนแปลง” โดยความหนาแน่นของพลังงานแปรเปลี่ยนไปตามกาลและอวกาศ ส่วนหนึ่งของสนามสเกลาร์ที่มีค่าคงที่ในอวกาศนั้นถูกรวมอยู่ในค่าคงที่จักรวาลวิทยาด้วย ในทางกายภาพแล้ว ค่าคงที่จักรวาลวิทยาจะมีค่าเทียบเท่ากับพลังงานสุญญากาศ (vacuum energy) การแยกแยะการเปลี่ยนแปลงของสนามสเกลาร์ในอวกาศออกจากค่าคงที่จักรวาลวิทยาทำได้ค่อนข้างยาก เพราะการเปลี่ยนแปลงนั้นอาจเป็นไปอย่างช้ามากๆ
การตรวจวัดการขยายตัวของเอกภพอย่างละเอียดแม่นยำสูง เป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องใช้เพื่อทำความเข้าใจว่า เหตุใดอัตราการขยายตัวของเอกภพจึงเปลี่ยนแปลงไปเมื่อเวลาผ่านไป ในทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป การเปลี่ยนแปลงของอัตราการขยายตัวสามารถระบุพารามิเตอร์ได้โดยอาศัย Equation of state ของจักรวาล การตรวจวัด Equation of state ของพลังงานมืดเป็นหนึ่งในความพยายามยิ่งใหญ่ที่สุดของมนุษย์ในการเฝ้าสังเกตการณ์เอกภพในปัจจุบัน
การนำค่าคงที่จักรวาลวิทยาบวกเข้าไปใน มาตรวัด FLRW มาตรฐานของจักรวาลวิทยา นำไปสู่แบบจำลองแลมบ์ดา-ซีดีเอ็ม ซึ่งถูกอ้างอิงว่าเป็น “แบบจำลองมาตรฐาน” ของจักรวาลวิทยา เพราะความสอดคล้องอย่างยิ่งของผลการคำนวณกับผลสังเกตการณ์ พลังงานมืดเป็นส่วนประกอบสำคัญยิ่งในความพยายามเมื่อไม่นานมานี้ในการสร้างแบบจำลองวงกลม (Cyclic model) สำหรับเอกภพ
สุริยุปราคา หรือ สุริยคราส เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ เกิดขึ้นเมื่อดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และโลก โคจรมาเรียงอยู่ในแนวเดียวกันโดยมีดวงจันทร์อยู่ตรงกลาง เกิดขึ้นเฉพาะในวันที่ดวงจันทร์มีดิถีตรงกับจันทร์ดับ เมื่อสังเกตจากพื้นโลกจะเห็นดวงจันทร์เคลื่อนเข้ามาบดบังดวงอาทิตย์ โดยอาจบังมิดหมดทั้งดวงหรือบางส่วนก็ได้ ในแต่ละปีสามารถเกิดสุริยุปราคาบนโลกได้อย่างน้อย 2 ครั้ง สูงสุดไม่เกิน 5 ครั้ง ในจำนวนนี้อาจไม่มีสุริยุปราคาเต็มดวงเลยแม้แต่ครั้งเดียว หรืออย่างมากไม่เกิน 2 ครั้ง โอกาสที่จะได้เห็นสุริยุปราคาเต็มดวงสำหรับสถานที่ใดสถานที่หนึ่งบนพื้นโลกนั้นค่อนข้างยาก เนื่องจากสุริยุปราคาเต็มดวงแต่ละครั้งจะเกิดในบริเวณแคบ ๆ ภายในแถบที่เงามืดของดวงจันทร์พาดผ่านเท่านั้น
สุริยุปราคามี 4 ชนิด ได้แก่
สุริยุปราคาเต็มดวง (total eclipse) : ดวงจันทร์บังดวงอาทิตย์หมดทั้งดวง
สุริยุปราคาบางส่วน (partial eclipse) : มีเพียงบางส่วนของดวงอาทิตย์เท่านั้นที่ถูกบัง
สุริยุปราคาวงแหวน (annular eclipse) : ดวงอาทิตย์มีลักษณะเป็นวงแหวน เกิดเมื่อดวงจันทร์อยู่ในตำแหน่งที่ห่างไกลจากโลก ดวงจันทร์จึงปรากฏเล็กกว่าดวงอาทิตย์
สุริยุปราคาผสม (hybrid eclipse) : ความโค้งของโลกทำให้สุริยุปราคาคราวเดียวกันกลายเป็นแบบผสมได้ คือ บางส่วนของแนวคราสเห็นสุริยุปราคาเต็มดวง ที่เหลือเห็นสุริยุปราคาวงแหวน บริเวณที่เห็นสุริยุปราคาเต็มดวงเป็นส่วนที่อยู่ใกล้ดวงจันทร์มากกว่า
ความคิดเห็น เกี่ยวกับ สารคดี พลังความมืด กับ สุริยุปราคา
-อวกาศอาจไม่ใช้ที่ของสิ่งมีชิวิต
แต่มันเป็นที่ของสิ่งที่ไม่มีตัวตนและไม่พึ่งพาการมีชิวิต มันคือโลกพิศวงของพลังงานและสะสารที่มีจิตใจเป็นตัวควบคุม เป็นของที่มองไม่จับต้องไม่ได้แต่ก็มีอยู่
ในรูปแบบ
-สสารมืดก้อคือตัวตนที่แท้จริงของจักรวาล. ส่วนดวงดาวต่าง ก้อจะมีลักษณะเหมือนเม็ดบีขที่โรยลงไปในโกโก้. หลุมดำเกิดจากความกดดันที่ไม่เท่ากันของสสารมืด. ที่เห็นว่ามันดำเพราะว่ามันดูดสสารมืดลงไปตลอดเวลานั่นเอง. ถ้าหาว่าสสารมืดมีคุณสมบัติเช่นรัยคุนก้อจะสามารถหาวิธีเปิดรูหนอนได้.
-เชื่อไหมว่า สสารและพลังงานมืด จะเป็นตัวนำที่จะนำเราไปสู่ดาวดวงอื่นได้ หรือกาแลคซี่อื่นได้ ถ้าหากมนุษย์วิธีนำมาใช้กับยานอวกาศได้ มันคงเป็นพลังงานที่ไม่มีวันหมดสิ้น เพราะมันอยู่ทั่วจักรวาล ตอนนั้น ความเร็วแสงไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป แต่คงอีก 200 ปี กว่ามนุษย์จะเข้าใจและใช้งานมันได้