สารคดี การค้นพบปีศาจหลุมดำ

การค้นพบปีศาจหลุมดำ

ท้องฟ้ายามคํ่าคืนส่องประกายด้วยดวงดาวนับไม่ถ้วน แต่บนอวกาศยังมีวัตถุอีกมากมายที่ยังคงซ่อนเร้นจากสายตาของเรารวดกับว่าพวกมัน เฝ้ารอการถูกค้นพบ ราว 4 ทศวรรษที่ผ่านมา นักดาราศาสตร์ฟิสิกส์ได้ถกเถียงกันว่าในใจกลางของทุกๆกาแล็กซี่จะมีหลุมดำมวลยวดยิ่งอยู่

หลุมดํา ทฤษฎี black hole ( EarthX ) สารคดี
สารคดี การค้นพบปีศาจหลุมดำ

ความคิดเห็น เกี่ยวกับเรื่อง การค้นพบปีศาจหลุมดำ
ผมว่าคือนรก หรือไม่ก็ สวรรค์หรือไม่ก้อที่อยุ่ของผุ้ที่สร้างจักวาล ทวยเทพ ต่างๆ และอาจจะเปน โลกหลังความตาย คือที่นั่น แต่เรามองเหนเปนภาพ อีกมุม ในเชิงวิทยาศาส ส่วนผมต้องไปกินยาระงับประสาส ก่อน..นั


 

หลุมดำคอืดาวดวงนึงครับที่ใหญ่มากๆมากกว่าโลกเป็นหมื่นเป็นเเสนเท่า เวลาที่ดูดเข้าไปไม่ได้ทำให้ดาวที่ถูกดูดหายไปครับแต่มันอมไปอยู่ในแรงดึงดูดในวงโคจรของมันและใช้เวลานานมากกว่ามันหลุดออกมาอาจเป็นปีหรีอหลายสิบปีก็ได้ที่จะหลุดออกมาได้ครับ. วิทยาศาตร์นึกว่าดูดหายไปจริงๆหลุมดำคือดาวดวงนึงที่ดำสนิทไม่มีแสงแสวงทำให้ส่องกล่องจึงไม่คึกว่าเป็นดวงเาวเลาดาวดวงใดที่ถูกดูดเข้าไปก็จะหายไปเพราะดาวหลุมดำมันมืดนักวิทยาศาตร์นึกว่าหายไปแล้ว. แต่จริงๆนะนักวิทยาศาตร์ไม่ได้เฝ้าดูจนมาคลายออกมาหรือออกจากดาวกลุมครับเพราะไม่รู้ว่าดาวที่หายไปในดางหลุมดำมันจะใช้เวลานานเท่าไหร่จึงไม่ติดตามให้ตลอดก็จะรู้ว่าดาวที่หายไปนั้นจะออกมาเองครับ เรื่ิงนี้ศึกษามาจากพระพุทธเจ้าครับมีให้ศึกษาครับ

จุดเริ่มของจักวาลคือการระเบิดออกของหลุมดำ ซึงมันดูดทุกอย่างไปบีบอัดจนเป็นอนันต์บีบให้เล็กระดับล้านล้านล้านส่วนของอตอม ดูดไปบีบไปเรื่อยๆ จนไม่มีอะไรจะดูดดูดจนเหลืออยู่อันเดียว จนกลายเป็นจุดดำๆ เล็กเท่าที่จะจินนาการได้ อยู่เป็นอนันต์ แล้วอยู่มาวันหนึ่งก็ระเบิดออกกลายเป็นจักวาล วนเวียนไปมาไม่รู้จบ

แสดงว่าหลุมดำมันมีผลต่อเวลาสิ ยังงี้ถ้าจะข้ามเวลาก็ยังได้แค่ขับยานเข้าไปใกล้ๆหลุมดำเพราะเวลามันจะช้าลงแต่เวลาภายนอกมันจะเร็วขึ้นแสดงว่าถ้าผ่านไป 1ปี อายุคนที่อยู่ในอะไรฟ้าๆนี่แหละมันจะช้ากว่าคนที่อยู่ภายนอก แต่มันน่าจะขัดอยู่ที่โดนดูดกลืนก่อน
เขาบอกว่า เราจะถูกทำลายก่อนที่จะเข้าไปใกล้ขอบฟ้าเหตุการณ์สะอีก
ไม่ได้ถูกทำลายคับ แค่โดนยืดเวลาอย่างงั้นไปเรื่อยๆ ไม่มีวันหยุด
เพราะว่า หลุมดำมีแรงดึงดูดมากพอที่จะบิดเบือนมิติได้ครับ
ตายครับ ไม่มีออกซิเจน แรงดึงดูดของหลุมดำ สามารถ แยกตัวเราออกมาเป็น คน ละชิ้น จนตาย แต่ ถ้า รอดออกมาได้ก็ไม่ใช้คนละครับ
ถูกต้องครับ หลุมดำสามารถทำให้เราเดินทางข้ามเวลาได้ตามกฏสัมพัทธภาพ ของไอสไตน์ เช่น เอายานไปจอดข้างๆหลุดดำนอกเขต event horison
ไว้1ปี แล้วบินกลับโลกก็ข้ามเวลาได้แล้วครับ
มันจะแยกชิ้นส่วนในร่างกายเราให้ละเอียดเป็นนิวเคลียสก่อนน่ะสิ สรุปคือไม่รอดก่อนข้ามเวลา
เหมือนนรกเลย 1 ล้านปีโลก เท่ากับ 1 นาทีหลุมดำหรือนรก ความเร็มมากๆก็ทำให้เวลาเดินช้าได้เหมือนกัน

ในหลุมดำนอกจากจะมีเเรงดึงดูดมหาศาลเเล้ว เมื่อมันดูดกลืนทุกสิ่งเข้าไปเเล้ว. สิ่งที่เข้าไปในนั้น มันจะถูกบดละเอียด จนเหลือเเค่ความ
ว่างปล่าว.( ใช่ป่าว) เดาเอา ????

หลุมดำคือโลกมึดที่หมุนรอบตัวเองด้วยคำเร็วสูงลิ่ว จึงทำให้เหมือนกับมันสามารถดูดวัตถุรวมทั้งแสงที่ผ่านเข้ามาใกล้ๆได้

ยังถูกต้อง ไม่ทั้งหมดป่ะ ?
เรื่องของแสง ที่โคง ด้วย แรงโน้มถ่วง
เราย่อมรู้ว่าแสงเดินทางเป็นเส้นตรง เพราะฉะนั้น อะไรที่โค้ง ??

แรงโน้มถ่วงไม่ได้มีปฏิกริยาต่อ อนุภาคโฟตอน แต่ ที่แสงโค้งจากการถ่ายรูปสุริยุปราคา เพราะ ??

ทำไมดาวต้องเป็นวงกลมด้วย
มันเป็นกฏของเเรงดึงดูดครับ วัตถุมีมวลมากจะคงรูปร่างในรูปทรงกลมตามแรงดึงดูด(ถ้าไม่หมุน)

เรายังคิดนะว่าหลุมดำ คือรูรั่วของเอกภพ คือทำไมถึงต้องเป็นรูรั่ว
มันง่ายดีนะถ้าเกิดระเบิดที่แรงขนาดเป็นหลุมทีแดกได้เยอะแบบไม่เต็มสักทีมันก้อต้องมีรอยแยกระหว่างมิติหรือมิติของเวลากันบ้างละ
เพราะว่าถ้าไม่มีมันคงเต็มละ แล้วมันก้อทำให้เราคิดว่ามันน่าจะดูดเข้าได้แค่ด้านเดียว แล้วที่มันดูดเข้าไปจะไปโผล่ทีไหนอันนี้ก้อคิดได้แค่อย่างเดียวคือทีไหนก้อได้ที่ไม่ใช่ที่นี่ไม่ใช่เวลานี้และอาจจะไม่ใช้เอกภพนี้อาจจะเป็นเอกภพอื่นๆ แล้วก้อมีนักวิทศาสตร์ พึ่งค้นพบแล้วก้อพูดว่าโอ้วพระเจ้า นี่มันคือบิ๊กแบงไรงี้55555
และอีกอย่างมันคงเป็นไปไม่ได้ที่มันจะดูดเข้าทั้งสองด้านนะ เราแค่คิดว่ามันน่าจะเป็นแบบนั้นนะ แบบนี้ก้อตอบคำถามทำไมถึงเกิดบิกแบงได้เลยยนะเนี้ย เพราะระเบิดทางนี้ กลายเป็นหลุมดำดูดทุกอย่างไปโผล่อีกทาง ที่มีจักรวาลและดวงดาวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะหลุมดำแดกไม่มีหยุดอยู่ละ
บางทีการคิดเองเออเองมันก้อสนุกดี
อย่างน้อยก้อหาอะไรมาตอบโจทตัวเองได้ ว่าทุกอย่างเกิดมาได้ไง หัวเราะได้ตอบได้ แต่อย่าด่านะ

นานร่วม 40 ปีมาแล้วที่นักฟิสิกส์และนักคณิตศาสตร์เผชิญอยู่กับสิ่งที่เรียกกันว่า “อินฟอร์เมชั่น พาราดอกซ์” หรือ “ปมขัดแย้งเรื่องข้อมูลที่หายไป” ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ทฤษฎีฟิสิกส์ที่ยิ่งใหญ่ 2 ทฤษฎีไม่สามารถรวมกันเข้าเป็นหนึ่งเดียวกันได้ “อินฟอร์เมชั่น พาราดอกซ์” ที่ว่านั้นเกี่ยวเนื่องอยู่กับ “สถานะ” ของข้อมูล เมื่อมันถูกดูดเข้าไปอยู่ภายใน “หลุมดำ”

สตีเฟนอธีบายเหมือนเพียงแต่เอา 2 ทฤษฎีมารวมกัน
โดยไม่ให้ขัดกับทั้ง 2 ทฤษฎี
คือ ทฤษฎีสัมพัทธภาพบอกว่าข้อมูลหายไป สตีฟ
ก็บอกว่าหายเพราะมันเปลี่ยนไป
ทฤษฎีควอนตัมบอกว่าไม่หานสตีบก็บอกว่าไม่หาย
เพราะมันแค่เปลี่ยนไป

สรุปเราไม่ได้ความรู้ไหมจากทฤฎีของ สติฟ…..

ใช่สตีเฟ่นฮอคิ้งพูดใกล้เคียงความจริงมากว่าหลุมดำไม่ทำให้ข้อมูลหายไปและไม่เก็บไว้ข้างในตลอดกาลแต่มันสามารถหลุดออกมาได้ซึ่งทฤษฎีนั้นได้มาจากการศึกษาธรรมชาติ แล้วในพระไตรปิฎกก็มีบอกเป็นเรื่องราวที่พูดถึงเป็นตอนๆไว้อยู่แล้วว่าในหลุมดำเป็นเหมือนอีกโลกหนึ่งที่ทฤษฎีภายนอกใช้อธิบายไม่ได้ แต่ที่แน่ๆสรุปได้ว่าสิ่งที่เข้าไปในหลุมดำไม่ได้หายไปและสามารถออกมาจากหลุมดำได้ขึ้นอยู่กับเวลาเดินทางเท่านั้นเอง แล้วยังมีอีกหลายอย่างที่พระไตรปิฎกได้บันทึกบอกไว้แล้วที่นักวิทยาศาตร์รุ่นไหม่พึ้งคิดได้มาทีหลังเรื่อยๆ คนที่ไม่ได้อ่านพระไตรปิฎกก็จะไม่เชื่อเพราะคงยังไม่เคยอ่านเจออะไรแบบนี้ หรือไม่ก็คงไม่เคยอ่านเลย ถ้าไม่รู้ก็ไม่แปลก ส่วนคนที่อ่านก็จะรู้และเปรียบเทียบได้เองว่าจริงหรือไม่ 🙂

เป็นไปได้ แต่มันจะเปลี่ยนไปอยู่อีกรูปหนึ่ง…ความคิดกับความฝัน ความสว่างกับความมืด…ทฤษฎีสัมพันธ์ภาพมีจริงอยู่ที่มูลของเราต่างหากมันจะมาสัมพันธ์แค่ไหน?..สารมืดแค่เก็บมิติเท่านั้น มันถูกเก็บอยู่ในสารมืด…ความสมบูรณ์แบบที่มาควบคุมความไม่สมบูรณ์แบบ…ความมืดมาความควบคุมแสงสว่าง..ความมืดคือความสมบูรณ์แบบ..ข้อมูลความคิดถูกเปลี่ยนรูปไร้ประโยชน์เพราะรอการถูกประมวลผลทางฟิสิกส์….แต่ข้อมูลทางความฝันเท่านั้นที่จะผ่านออกไปไม่กลับมาอีกแล้ว…กุญแจคือความมืดกับความสว่าง…ความสว่างมีมวลสารตอบสนองทางฟิสิกส์…จักรวาลถูกสร้างขึ้นมาให้ตอบสนองต่อความคิด ร่างกายของเราคือกลไกหนึ่งของจักรวาล…เราต่างหากที่จะมาตอบสนองต่อจักรวาลนี้เช่นไร?…เรามีโฮร์โมนที่มาเชื่องโยงให้เป็นไปตามข้อเสนอของจักรวาลนี้…..สมองจึงพัฒนาการณ์ตอบสนองโฮร์โมน…เช่นเรามีโฮร์โมนอยากจะไปดาวอังคาร อยากรู้ อยากเห็นฯลฯสมองก็จะถูกชี้ทางไปสู่ทางนั้น..ผิดถูกสมองชี้ไม่ได้ .ต้องระดับมิติเท่านั้นที่มาเป็นตัวช่วยคิด..นั้นคือความฝัน..สมองจึงเป็นแค่ตัวฉายภาพแสดง…จักรวาลคือผู้เสนอ….จักรวาลจึงมีวัตถุประสงค์ใช้ดักจับความฝัน…ไม่ใช่ความคิด..มูลความคิดจึงไม่ใช่เป้าหมายของจักรวาล…โฮร์โมนคือตัวประมวลผลมูลธาตุของความฝัน…แยกแยะมิติออกจากกัน…ฯลฯ…..เราจึงพบว่า มีนักวิทยาศาสตร์สองคนแล้วที่กล้าพูดเรื่องมิติ…แต่ไม่มีใครเข้าไปได้เลย…สตีเฟ่นก็สับสนเรื่องมูลความคิด…เห็นไหมว่าจักรวาลดักจับอะไรบางอย่าง..อินทรีย์คือกับดัก….อัลไซเมอร์คือโรคร้ายของพวกหลงติดอยู่ในความฉลาด แต่มันไม่มีผลกับคนซื่อโง่เขลาเลย…..มนุษย์ต้องการแสงสว่างมากขึ้น ความมืดจึงเป็นศัตรูเช่นเดียวกันฉันท์นั้น…..ความฉลาดก็ต้องการแสงสว่าง…หลุมดำมีไว้ประมวลผลแยกแยะพวกหิวแสงสว่างแบบแมลง…จักรวาลนี้มีไว้เสนอบุคคลที่ฉลาด…วิทยาการทางมิติคือคำตอบที่พวกมีความฉลาดไม่กล้าแตะต้อง….มันคือความฝัน คืออุปทาน ที่สมองจับต้องมันไม่ได้ อ่านค่าของมันก็ไม่ได้ เพราะเรามีโฮร์โมนเป็นตัวประมวลผล….คนที่ฉลาดจะใช้โฮร์โมนเป็นตัวประมวลผลส่งไปสู่สมองระบบประสาท….ฯลฯ…..ถูกกักขังไปตลอดกาล….แบบคอมฯในอนาคตจะกักขังคนฉลาดแต่ไม่มีผลต่อคนซื่อโง่เขลา….คอมฯจะเป็นมหาภัยของบุคคลที่ใช้โฮร์โมนแบบมักงาย…มันเสนอมาให้ถูกใจสันดารชนิดโฮร์โมนเราวิ่งเข้าใส่เลย….ดูที่เราวิ่งเข้าใส่..ลาภ ยศ สรรเสริญซิ…นั้นมันเป็นเราที่ไหนกัน โฮร์โมนทั้งนั้น…กินยาดับโฮร์โมนดูซิ..ที่เหลือคือสันดารของเราแท้จริง…เช่นพวกกินไวอาก้ามาจากสันดารแท้จริงของเรา..พวกนี้จะเกิดความฝันที่ไม่ผ่านหลุดดำ..เพราะมีมูลทางอินทรีย์จักรวาล….ปริศนาวิชาการทางมิติที่นักวิทยาศาสตร์มองว่างมงาย….เพราะสมองของเรามันปิดกักกันมิติไว้ มันฉายแสดงจิตตัวกูของกูชัดเจนไปตามความฉลาด และโฮร์โมนดักจับไว้ระบบประสาทปรุงรสชาติหลงในอารมณ์นั้นๆ…..ธรรมชาติและจักรวาลคือปัจจัยข้อเสนอ..ยิ่งถลำลึกยิ่งสนุกทั้งหญิงและชายจนลืมความจริงของความจริงไปนั้นคือกาลเวลา….เราจะพบว่าธรรมชาติคือเครื่องล้างความทรงจำชั้นเยี่ยมให้มาเป็นปัจจุบัน..เช่นวัยเด็กถูกธรรมชาติหลอก..ยิ่งฉลาดมีความคิดยิ่งลืมความจริงของตัวเองไป….มนุษย์ในอนาคตไม่มีวันมารู้ความรู้สึกของคนปัจจุบันนี้ได้เลย…เราจะถูกกระทำให้เป็นปัจจุบันตลอดเวลาเพื่อปกปิดความลับของจักรวาล….มนุษย์ถ้ารู้ความจริงว่าสมองมีอายุไขสั้นมากๆ..ในขณะที่ความฝันถูกสมองเปลี่ยนรูปไปสู่อนาคตอยู่ในจักรวาลนี้….ดวงอาทิตย์กำลังจะดับกลายเป็นหลุมดำ..แผลดับลายไปทั่วตัวเช่นที่เห็น…คุณจะยังฝันไปสู่อนาคตอีกหรือ?…สิ่งที่นักวิทยาศาสตร์พูดคืออนาคตที่หลอกลวงความฝันของมนุษย์…ถ้ามนุษย์อนาคตย้อนกาลเวลามาได้ รู้ไหมว่ามันจะมาทำอะไรในปัจจุบัน???มันจะมาทำลายล้างโลกนี้ทันที..เพราะมันต้องการหยุดอนาคตของมันนั้นเอง..มหาภัยพิบัตินรกจักรวาลรอมันอยู่….วิธีเดียวคือย้อนมาทำลายเหตุของพวกมันให้สิ้นซาก….ไอน์สไตน์คือหนึ่งในมนุษย์อนาคต…มาวางยาไว้…เราอยู่ในสภาวะเจริญทางอาวุธสงครามเร็วเกินไป..120ปีสามารถที่จะทำลายล้างโลกได้แล้ว..รอแค่วันทีมันจะลงมือเท่านั้นเอง….นี้คือพฤติกรรมของพวกนักวิทยาศาตร์ มาเกิดเพื่อเผาผลาญทำลายล้างบ้านของตัวเอง…แผลดับบนดวงอาทิตย์จะเริ่มก่ออนุภาพดูดสนามแม่เหล็ก สนามไฟฟ้าอีกไม่เกิน7000ปีข้างหน้า…เรายังมีเวลาแค่3000ปีเท่านั้น….
คุณกำลังบอกว่า ความฉลาด นักวิทย์ เป็นหายนะของโลกหรือ ให้คนหยุดศึกษาทางโลก อยู่ตามสัญชาตญานแบบเดิม ๆ เหมือนคนป่าอเมซอนหรือไง
กรุณากลับมาอธิบายเพิ่มเติมหน่อย ขอบคุณ
วิทยาศาสตร์ วิชาการ อารยะธรรมมันคือระเบิดเวลา..ยาพิษที่มีฤทธิทำให้โลก ธรรมชาติ จักรวาลตายผ่อนส่ง….”*เมื่อไหร่ที่มนุษย์ตกอยู่ในความเจริญ
สูงสุดของรุ่นแรก โดยไม่ผ่านบทเรียนรู้เท่าทันมันมาก่อนอย่างดี หายนะความฉิบหายก็จะตามมา เพราะมนุษย์มีจุดอ่อนคือไม่รู้เท่าทันโฮร์โมน ฯลฯของตัวเอง
“..วิทยาศาสตร์ วิชาการและอารยะธรรมจึงไม่คู่ควรกับ”มนุษย์”…เราใช้มันเป็นเครื่องมือล้างทำลาย…วิทยาศาสตร์มันมีกุญแจของการใช้มัน มันมียา
แก้ไขป้องกัน แต่เราไปเรียนวิธีปรุงมันขึ้นมาก่อน..โดยไม่รู้วิธีใช้มัน…มันจึงกลายเป็นโค๊ตระหัสบอกว่า”มนุษย์กำลังจะสู่ยุคหายนะสูยพันธุ์อีกครั้งหนึ่งของ
ประวัติศาสตร์โลก”…..ดูรัสเซีย ดูธรรมชาติ และดูสังคมอเมริกา ดูญี่ปุ่นฯลฯและหันมาดูโลก…..”คนที่สนุกไปกับการเสพมันตื่นเต้นในเรื่องราวเนื้อหา
ของมัน ก็ยอมติดรสชอบถูกใจมัน…แต่ยังมีบุคคลที่ช่างสังเกตุ ช่างพิเคราะห์หาเหตุ มีโฮร์โมนไม่มักง่ายอำเพอใจ ไม่หลงติดจนหลงใหลตาบอด…เขาก็
ย่อมมีสิทธิในการปกป้องมาตุภูมิ ธรรมชาติ โลกของเขา…และเขารู้ว่า..ปัญญาสันดารเช่นเขาเคยครองโลกนี้ และเป็นบรรพบุรุษของมนุษย์ที่หลงเหลือจาก
ซากอารยะธรรมนั้นๆมาตลอดทุกยุคทุกสมัย…..บุคคลเช่นนี้เขาก็มองวิทยาศาสตร์ วิชาการ อารยะธรรมในอีกมุมหนึ่ง…”จะไปกล่าวหาว่าเขา
เสือก”โง่”ไม่ได้…เพราะเขาคือเต่าล้านปี ที่เคยครองโลกนี้มาก่อน…พวกคุณคือมนุษย์ต่างดาว ต่างยุค ต่างภิภพ มันมาที่หลังเขา…..ควรจะรับฟัง
เขา…”ขนาดมหาวิทยาลัย ก็คือโรงงานผลิตยาพิษมวลสภาวะตายผ่อนส่งของธรรมชาติสังคม”..ผลิตฝูงอีกา ความฉลาด มาย้อมสีให้มัน โดยที่
มหาวิทยาลัยไม่รู้เท่าทันสิ่งที่ตนผลิตออกมานั้นว่ามันคืออะไร?…สิ้นค้านั้นมันไปทำลายอะไรบ้างในอนาคต…..ระเบิดเวลาดีๆนี้เอง”…สิ้นค้าความฉลาด
เป็นที่ต้องการซื้อขายกันในหมู่คนชั่วที่มีเงินและอำนาจ…เพราะมนุษย์ไม่รู้จักอนุภาพโฮร์โมนของตนเองว่ามันใช้ทำอะไรได้บ้าง……ผมคือเต่าล้านปีที่
ต้องการชีวิตแบบเต่าๆคืน….ในขณะพวกคุณคือมนุษย์ต่างดาวมาเปลี่ยนธรรมชาติของเต่ามาเป็นบรรยากาศของคุณ…สารพิษยาพิษสงครามฯลฯ…การ
แข่งขันทุกๆวิธีการเพื่อสนองโฮร์โมนเกิดพัฒนาการสู่สมอง ฉลาดไม่สิ้นสุด…มันไม่ใช่พฤติกรรมของมนุษย์โลก…มนุษย์โลกรู้จักการใช้โฮร์โมนสร้าง
สังคม..พวกคุณใช้โฮร์โมนสร้างความฉลาดมาสนองบาปสันดารของตน…สตีเว่ฟ ฮอว์กิ้งก็มีพฤติกรรมโน้มน้าว”หยดเหยื่อ”กระตุ้นโฮร์โมน ภาษาฝังความ
คิดวางยาพิษ”ล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์”แบบที่ไอน์สไตน์กระทำมาแล้ว……ทฤษฏีของสตี้เฟ่น..ร้ายกว่าของไอน์สไตน์เป็นล้านๆเท่ามันทำลายระบบสุริยะได้
เลย….*นักวิทยาศาสตร์เริ่มเพราะเมล็ดพันธุ์ขึ้นมาแล้ว…มันแค่การเริ่มต้นพบว่ามันมีมูลความจริง..แต่ยังไม่มีวิวัฒนาการไปเร่งโตเร่งเวลาให้
มัน….***ใครจะไปรู้ว่า..ในจักรวาลนี้มีอุบัติเหตุทางวิทยาศาสตร์มาแล้วกี่ระบบสุริยะที่ถูกทำลายไปด้วยน้ำมือของวิชาการ…มันกลืนระบบสุริยะ…..เรา
วันนี้วางยาพิษด้วยวิทยาการไปให้ลูกหลานในอนาคต….สิ่งที่สตีเฟ่นชี้นั้นมันมีสองด้าน…เรารู้มันด้านของความอยากรู้…แต่อีกด้านหนึ่งเราบอด
สนิด…มนุษย์เราใช้โฮร์โมนมองวิทยาศาสตร์ในด้านหายนะ….เมล็ดพันธุ์หายนะระดับจักรวาลจะถูกฝังเพาะพันธุ์ไว้ในสมองของมนุษย์นี้เอง คอมพิวเตอร์
เป็นแค่ผู้ช่วยปลูกสร้าง เป็นตัวเร่งความเจริญความแม่นยำนั้น…เราจึงพบพฤติกรรมว่าคนปลูกเพาะพันธุ์เป็นกลุ่มหนึ่ง คนขยายพันธุ์ คนเคลื่อนย้าย(พ่อค้า)
คนที่จะใช้มันสู่การรองรับบริโภคก็เป็นอีกกลุ่มหนึ่ง….มันเดินทางไปอยู่บนอวกาศมากมายเท่าไหร่?…บนดินเท่าไหร่ ใต้มหาสมุทรเท่าไหร่..และถ้าเมล็ด
พันธุ์สายใหม่นี้ไปสู่ดวงดาวอื่นๆแม้แต่ดวงอาทิตย์ล่ะ….ยาพิษ ระเบิดเวลา…คือวิทยาศาสตร์ดีๆนี้เอง
วิทยาศาสตร์ มีสาระมีมูลของก่อจิตนาการณ์…เพราะบุคคลที่มีจิตนาการคือเมล็ดพันธุ์ของวิทยาศาสตร์…วิทยาสตร์คือความสนุกความสุขทางจิตนา
การณ์….
เพ้อเจ้อ เลอะเทอะไปหมด ที่พล่ามเป็นน้ำไหลมานี่ไม่มีหลักฐานใดๆมาสนับสนุนในความคิดของตัวเองแม้แต่น้อยเลย ประหนึ่งเหมือนคนที่คิดบ้าบออะไรก็
พูดออกมาได้โดยขาดความรับผิดชอบ แถมนี่มันโลกยุคศตวรรษที่ 21 มันเป็นยุคโลกาภิวัตน์แล้ว เท่าที่จับใจความดูเหมือนคุณจะหลงยุคมาจากสมัยมนุษย์
ยุคหินก็ไม่ปาน
ผมถามหน่อยนะ เห็นคุณพูดต่อต้านวิทยาศาสตร์ ต่อต้านวิชาการ และต่อต้านอารยธรรม แล้วที่โตๆมานี่ได้เรียนหนังสือมาไหม ? แล้วที่ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับ
สังคมทุกวันนี้ ถ้าไม่ให้เรียกว่าอารยธรรมที่เป็นรากเหง้าให้คุณมีตัวตนอยู่ได้ในทุกวันนี้ แล้วตอนนี้คุณสถิตอยู่ที่แห่งหนใด ?
แค่เรียกชื่อทฤษฏีก็ผิดแล้วครับ อย่าเพิ่งไปไหนไกล… มันคือทฤษฏีสัมพั(ท)ธภาพครับ ไม่ใช่สัมพันธ์ภาพ
วิทยาศาสตร์ ทำให้มนุษย์เจริญก้าวหน้า และต่อยอดไปยุคแห่งอวกาศ เพื่อรวบรวมสรรพสิ่งชีวิต ให้เป็นสัมพัทธมิตรร่วมกัน แลกเปลี่ยนความรู้ต่างๆไม่รู้จบ
สิ้น

หลวงพ่อฤาษีลิงดำ เคยพูดเรื่อง หลุมดำ ผมฟังแล้ว ก็ตรงกับทฤษฎีนี้นะครับ สิ่งต่างที่หลุดไปในหลุมดำ ไม่หายไป แต่ใช้เวลานาน กว่าจะคายออกมา
ใช่สตีเฟ่นฮอคิ้งพูดใกล้เคียงความจริงมากว่าหลุมดำไม่ทำให้ข้อมูลหายไปและไม่เก็บไว้ข้างในตลอดกาลแต่มันสามารถหลุดออกมาได้ซึ่งทฤษฎีนั้นได้มาจากการศึกษาธรรมชาติ แล้วในพระไตรปิฎกก็มีบอกเป็นเรื่องราวที่พูดถึงเป็นตอนๆไว้อยู่แล้วว่าในหลุมดำเป็นเหมือนอีกโลกหนึ่งที่ทฤษฎีภายนอกใช้อธิบายไม่ได้ แต่ที่แน่ๆสรุปได้ว่าสิ่งที่เข้าไปในหลุมดำไม่ได้หายไปและสามารถออกมาจากหลุมดำได้ขึ้นอยู่กับเวลาเดินทางเท่านั้นเอง แล้วยังมีอีกหลายอย่างที่พระไตรปิฎกได้บันทึกบอกไว้แล้วที่นักวิทยาศาตร์รุ่นไหม่พึ้งคิดได้มาทีหลังเรื่อยๆ คนที่ไม่ได้อ่านพระไตรปิฎกก็จะไม่เชื่อเพราะคงยังไม่เคยอ่านเจออะไรแบบนี้ หรือไม่ก็คงไม่เคยอ่านเลย ถ้าไม่รู้ก็ไม่แปลก ส่วนคนที่อ่านก็จะรู้และเปรียบเทียบได้เองว่าจริงหรือไม่ 🙂

ในความคิดของผมหลุมดำก็คือ เมื่อดาวที่ตายลงระเบิดแล้วยบตัวลงด้วยแรงโน้มถ่วงมหาสาน ทำให้เกิดหลุมอาวกาศที่เรียกว่าหลุมดำ เมื่อหลุมดำคือหลุมอากาศที่เกิดจากมวลมหาสานและแสงหนีไม่พ้นก็แปลว่าเร็วกว่าและลึกมากจนแสงตามไม่ทัน คือถ้าสมมุติว่าเราเดินทางด้วยหลุมดำ เราจะข้ามจากกาแล็กซี่หนึ่งไปยังกาแล็กซี่หนึ่งได้ภายในชั่วฟริบตาหรือการวาปแต่เราจะโดนหลุมดำฉีกจนไม่เหลือซากซะก่อน แต่นักวิทยาศาสบอกว่า ถ้าเรามีสะสารลบเราก็จะไม่โดนฉีก เหมือนผวกก็าสที่ลอยขึ้นฟ้าสวนทางกัแรงโน้มถ่วง จะทำให้หลุมดำที่เราสร้างขึ้นคงสภาพได้และทำให้เราผานไปได้ครับ นี่ก็เป็นจินตนาการเพ้อเจ้อของผม

สรุปมันก็เสียข้อมูลทั้ง2ทฤษฎีนั่นแล่ะ แต่ผมเชื่อไอสไตร์ เพราะแรงดึงดูดอนันต์ขนาดนั้น อะตอมมันจะยืดแน่ๆ เป็นสปาเกตตี้แน่ๆ พอตกเข้าไปในใจกลางก็คงบีบอัดกันเล็กจนอนันต์ รอวันระเบิดเปนบิ๊กแบงครั้งใหม่
ผมเชื่อไอสไตมากกว่า เมื่อแรงโน้มถ่วงมึจริงก็แปลว่า เมือหลุมดำมีความโน้มถ่วงมากจนแสงก็หนีไม่พ้นก็แปลว่าความเร็วในนั้นเร็วกว่าแสงเมื่อสัพสิ่งที่หลุดเข้าไปและด้วยแโน้มถ่วงมหาสานจะฉีกวัตถุที่หลุดเข้าไปจนไม่เหลือซากจนเป็นควันตั้มก็ไม่เหลือ

หลุมดำคือการรีไซเคิ้ลแต่คือการกำจัดขยะแล้วนำไปสร้างสิ่งใหม่ขึ้นมาแทน เหมือนการหลอมแล้วสร้างใหม่แล้วถูกส่งไปใช้งานในที่ใหม่ หรือไม่ก็นำมาเก็บไว้ที่ขอบฟ้าเหตุการแต่ไม่ว่าสิ่งได้ที่ลงไปในหลุมดำต้องถูกหลอมใหม่แน่ๆ

หลวงพ่อฤาษีท่านอธิบายไว้ก่อนซะอีก ว่ามันไม่ได้ดำมืดสนิทมันมีพื้นผิวแต่แข็งกว่าโลหะใดๆมีพลังดึงดูดมหาศาลแต่สิ่งที่เข้าไปไม่ได้ไปใหนจะออกมาอีกทีแต่ใช้เวลานานมากเท่านั้นเอง

หลุมดำไม่มีแรงดึงดูด เพราะเป็นดวงอาทิตย์ที่ตายแล้ว เป็นเพียงกองเถ้าถ่านกองใหญ่ ที่เห็นเป็นสีดำก็เหมือนฟองไข่ ระบบสุริยะมันเหมือนฟองไข่ ไข่ของใครของมัน มันก็ยุบตัวก็ไม่เกี่ยวกับไข่ฟองไหน หลุมดำหยุบตัวก็อยู่ภายในระบบสุริยะนั้น ๆ
ดวงอาทิตย์แต่ละดวงส่องแสงด้วยความแรงไม่เท่ากัน ดวงอาทิตย์ดวงเล็กแสงอาจส่องหรือเดินทางได้เร็วกว่าดวงใหญ่ แต่ดวงอาทิตย์ดวงใหญ่แสงที่ส่องออกมาเดินทางช้า แต่ส่องแสงได้ไกลกว่าดวงเล็ก
ถ้าทฤษฎีหลุมดำเปรียบเหมือนฟองไข่เน่า ไม่มีแรงดึงดูดต่อระบบอื่น ๆ ของใครของมัน
ทำไมพวกฝรั่งมันชอบให้ระเบิด ดูด เผาทำลายล้างไปเสียหมด ทำไมไม่มีทฤษฎีเกิดขึ้นของดวงดาว เกิดขึ้นโดยตัวของมันเองแล้วก็ตายไป โดยไม่ทำล้ายทำลายล้างมั่งนะ

หลุมดำอาจเป็นตัวดูดสสารที่เหลือจากการเผาใหม้ของดาวฤก หรือคิดง่ายๆถ้าอะตอมของธาตุเป็นสิ่งมีชีวิตมันก็ต้องมีวิญญาณ อาจเป็นในรูปที่แสงไม่สามารถทำปฎิกริยากับมันใด้
หลุมดำมันก็เหมือนพัดลมระบายอากาศออกไปสู่อีกหลายชั้นของจักวาลไปสู่ชั้นสุดท้ายของจักวาลที่มีแต่แสงสว่างไม่ดำมืด (เป็นทฤษฎีที่คิดเองบนพื้นฐานในองค์ความรู้จากแนวคิดพระเจ้าคือผู้สร้างจักวาล)

เชื่อว่าหลุมดำจะไม่มีสีดำอย่างที่ตาคนเรามองเห็นเป็นสีดำ สาเหตุน่าจะเกิดจากการเคลื่อนที่เป็นรูปวงรีด้วยความเร็วมากกว่าความเร็วแสง ส่งผลให้ตาคนเรามองไม่เห็นภาพ ส่วนภาพที่มองเห็นรอบ ๆ วงกลมสีดำเราสามารถมองเห็นได้ก็เพราะว่ามีอัตราการเคลื่อนที่ด้วยความเร็วของความเร็วแสงพอดี หรือ มีความเร็วน้อยกว่าความเร็วแสง ส่งผลทำให้ตาคนเราสามารถมองเห็นภาพรอบ ๆ หลุมดำได้ หลุมดำไม่ใช่ทางลัดใดๆทั้งสิ้น เมื่อถึงจุดอิมก็จะระเบิดกลายเป็นบึ๊กแบ็งออกมา

หลุมดำอาจจะไม่ทำลายดวงดาวที่ถูกดูดกลืนเข้าไปภายในหลุมดำก็เป็นได้
อาจจะเป็นคล้ายกับห้องโถงใหญ่ๆที่ดวงดาวถูกกลืนเข้าไป เเล้วออกมาเข้าออกๆ อย่างนี้. เเต่อาจจะใช้เวลานานๆกว่าจะออกมาจากหลุมดำได้.(ความคิดส่วนตัวน๊ะ หมอเรียกเเละ. ทานยาเเป๊ป)???????

Copy link
Powered by Social Snap