สารคดี นาทีหายนะ The Bismarck บิสมาร์ค สุดยอดเรือยักษ์ราชนาวีเยอรมัน
19 พ.ค 1941 เรือรบหนักของนาซีออกเดินทางจากเยอรมนี พร้อมกับเรืออีกลำหนึ่ง ซึ่งภารกิจของเรือทั้ง 2 ลำ คือ เอ็กซ์เชอร์ไซส์ไลน์ เดินทางเข้าสู่มหาสมุทธแอตแลนติก เพื่อทำลายกองกำลังอังกฤษและพันธมิตร มีลูกเรือทั้งหมด 2000 คน กับการเดินทางไปกับเรือรบระดับสุดยอดลำนี้ 21 พ.ค 1941 เดินทางถึงปากอ่าวของประเทศนอร์เวย์ ในตอนนั้น ลูกเรือต่างมีความสุข ลูกเรือหลายคนยังหนุ่มต่างไม่มีประสบการณ์ต่างก็ตื่นเต้นที่จะได้เข้าประจำการเรือรบลำใหม่นี้ โดยเชื่อว่า มันเป็นเรือรบไร้พ่าย
1.ใครจมเรือบิสมาร์ค 43:53
2.สารคดี เรือประจัญบานบิสมาร์ค | The bismarck 43:36
3.ใครจมเรือบิสมาร์ค 43:53
4.สารคดี นาทีหายนะ The Bismarck บิสมาร์ค สุดยอดเรือยักษ์ราชนาวีเยอรมัน 55:31
5.นาทีหายนะ 56:00
6.สงครามโลกครั้งที่ 2 ตอนเรือบิสมาร์ค HD 43:53
ความคิดเห็น เกี่ยวกับ สารคดี นาทีหายนะ The Bismarck บิสมาร์ค สุดยอดเรือยักษ์ราชนาวีเยอรมัน
สุดยอดเรือประจันบาน ไม่ใช่อย่างยามาโต้ ขี้ขลาดตาขาว หนีอย่างเดียว
เยอรมันกับญี่ปุ่นไม่มีสิทใด้เขียนประวัติศาตร์สงครามโลกใด้เลย ตกเป็นผู้แพ้ต้องอ่านของผู้ชนะ เมกาใด้สมบัติค่าสงครามมหาศาลพลเรือนกินดีอยู่ดี ญี่ปุ่นโง่เองไปแหย่เสือหลับ ถ้ายึดแต่เอเชียค่อยไปต่อสร้างกำลังพลอาวุธให้มาก เวลานั้นเมกาก็จะแย่เอง เสือกห้าวไปทำให้ตื่น เมกายังเป็นกลางตอนนั้น ผลพวงระยยาวต่อโลก เวลานี้เมกาเป็นผู้พิทักษ์หรือผู้ปล้นโลก ต้องโทษญี่ปุ่นถ้าเมกาไม่ถล่มพวกเราเอเชียอยู่ใต้อุ้งมือยุ่น โหดดิบดิบด้วยพวกยุ่น จะเป็นทาวสงครามทำงานให้มันด้วยสิ ขอบใจเมกามาก
บิสมาร์คได้ปฏิบัติการเพียงครั้งเดียวตลอดอายุการใช้งานอันสั้น โดยจมลงในตอนเช้าของวันที่ 27 พฤษภาคม ค.ศ. 1941 ระหว่างปฏิบัติการไรน์อือบุง เรือบิสมาร์คและเรือลาดตระเวนหนักอีกลำหนึ่งพยายามที่จะขัดขวางและทำลายขบวนเรือซึ่งแล่นระหว่างอเมริกาเหนือและสหราชอาณาจักร ขณะที่บิสมาร์คและเรือรบเยอรมันอีกลำหนึ่งกำลังพยายามที่จะแล่นออกไปยังมหาสมุทรแอตแลนติก เรือรบทั้งสองถูกค้นพบโดยราชนาวีอังกฤษ และถูกดึงเข้าสู่ยุทธนาวีช่องแคบเดนมาร์ก ระหว่างการรบเวลาสั้น ๆ เรือหลวงฮูด เรือธงของกองเรือหลวงและความภาคภูมิใจของราชนาวีอังกฤษ ถูกจมลงหลังจากถูกยิงเพียงไม่กี่นาที นายกรัฐมนตรีวินสตัน เชอร์ชิล โกรธแค้นจนออกคำสั่งให้ “จมเรือบิสมาร์ค” ซึ่งกระตุ้นให้ราชนาวีอังกฤษติดตามเรือบิสมาร์คไปอย่างไม่ลดละ
สองวันถัดมา เมื่อเรือบิสมาร์คเกือบจะไปถึงน่านน้ำที่ปลอดภัยแล้ว เครื่องบินปีกสองชั้นของราชนาวีอังกฤษได้ยิงตอร์ปิโดถล่มเรือและทำให้หางเสือเรือขัดข้อง เรือรบหนักของอังกฤษสามารถตามทันบิสมาร์คได้ ในการรบที่เกิดขึ้นตามมาในช่วงเช้าของวันที่ 27 พฤษภาคม ค.ศ. 1941 บิสมาร์คถูกโจมตีอย่างหนักเป็นเวลานานเกือบสองชั่วโมงก่อนที่จะจมลงสู่ก้นทะเล การจมของบิสมาร์คได้รับการรายงานบนหน้าแรกของหนังสือพิมพ์หลายฉบับทั่วโลก
เรือบิสมาร์คมีระวางขับน้ำมาตรฐาน 41,700 ตัน (41,000 ลองตัน[note 1]) และมีระวางขับน้ำเต็มที่ 50,300 ตัน (49,500 ลองตัน) มีความยาวตลอดลำ 251 เมตร, กว้าง 36 เมตร และกินน้ำลึกสูงสุด 9.9 เมตร (32 ฟุต 6 นิ้ว) [10] เรือบิสมาร์คเป็นเรือประจัญบานเยอรมันที่ใหญ่ที่สุด[16] และมีระวางขับน้ำมากกว่าเรือประจัญบานของชาติอื่นๆ ในยุโรป ยกเว้นเรือ เรือหลวงแวนการ์ด (HMS Vanguard) เรือมีแหล่งกำลังเป็นกังหันไอน้ำโบลมและฟอสส์แบบเปลี่ยนเกียร์ได้ 3 กังกัน และหม้อไอน้ำความร้อนยวดยิ่งวากเนอร์ (Wagner) ซึ่งใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิง 12 หม้อ ให้กำลังถึง 150,170 แรงม้า (shaft horsepower) (111,980 กิโลวัตต์) ให้ความเร็วสูงสุด 30.01 นอต (55.58 กม./ชม.; 34.53 ไมล์/ชม.) ในตอนแล่นทดสอบ มีระยะทำการ 8,870 ไมล์ทะเล (16,430 กม.; 10,210 ไมล์) ที่ความเร็ว 19 นอต (35 กม./ชม.; 22 ไมล์/ชม.)[10] เรือบิสมาร์คติดตั้งเรดาร์ค้นหา FuMO 23 สามชุด ติดไว้ด้านหน้าเรือ กล้องวัดระยะท้ายเรือ และยกพื้นที่อยู่ส่วนบนสุดของเสาหน้ากระโดงเรือ
ตามมาตรฐานของเรือ เรือจะมีลูกเรือเป็นนายทหาร 103 นาย และพลทหาร 1,962 นาย ลูกเรือจัดแบ่งเป็น 12 กองร้อย กองร้อยละ 180 ถึง 220 นาย หกกองร้อยแรกรับผิดชอบอาวุธยุทธภัณฑ์ กองร้อยที่ 1 ถึงกองร้อยที่ 4 ดูแลหมู่ปืนหลักและหมู่ปืนรอง กองร้อยที่ห้าและหกรับผิดชอบปืนต่อต้านอากาศยาน กองร้อยที่ 7 ประกอบด้วยผู้ชำนาญเฉพาะทางซึ่งรวมถึงพ่อครัวและช่างไม้ กองร้อยที่ 8 มีหน้าที่ดูแลจัดการอาวุธยุทธภัณฑ์ พนักงานวิทยุ เจ้าหน้าที่ให้สัญญาณ และเจ้าหน้าที่ทหารฝ่ายพลาธิการ ประจำกองร้อยที่ 9 สามกองร้อยสุดท้ายประจำในห้องเครื่องยนต์ เมื่อบิสมาร์คออกจากท่า เรือจะมีลูกเรือมากกว่า 2,200 นาย เพราะจะนับรวมพนักงานกองเรือ ลูกเรือที่มีหน้าที่นำส่งเรือเชลย และนักข่าวสงครามบนเรือด้วย พนักงานห้องเครื่องยนต์ราว 200 นายมาจากเรือลาดตระเวนเบาคาลส์รูเออ (Karlsruhe) ที่สูญเสียไประหว่างปฏิบัติการเวเซอร์อือบุง (Operation Weserübung) ซึ่งเป็นปฏิบัติการการรุกรานนอร์เวย์ของเยอรมัน
เรือบิสมาร์คติดอาวุธปืน SK C/34 ลำกล้อง 38 ซม. แปดกระบอกในป้อมปืนแฝด 4 ป้อม ป้อมปืนติดตั้งแบบซูปเปอร์ไฟร์อิ้ง (super-firing[note 2]) ป้อมปืนหน้าชื่อ “อันโทน (Anton)” และ “บรูโน (Bruno)” ป้อมหลังชื่อ “เคซาร์ (Caesar)” และ “โดรา (Dora)”[note 3] อาวุธรองประกอบด้วยปืน L/55 ลำกล้อง 15 ซม. 12 กระบอก ปืน L/65 ลำกล้อง 10.5 ซม. 16 กระบอก ปืน L/83 ลำกล้อง 3.7 ซม. 16 กระบอก และปืนต่อสู้อากาศยาน ลำกล้อง 2 ซม. 12 กระบอก เรือบิสมาร์คยังบรรทุกเครื่องบินทุ่นลอยน้ำลาดตระเวนอาราโด อาแอร์ 196 (Arado Ar 196) โรงเก็บเครื่องบินขนาดใหญ่ และเครื่องดีดแบบหัวท้ายเหมือนกัน (double-ended catapult) เกราะข้างหนา 320 มม. (13 นิ้ว) และปกคลุมโดยเกราะคู่ส่วนบนและเกราะหลักของดาดฟ้าเรือหนา 50 มม. (2.0 นิ้ว) และ 100 ถึง 120 มม. (3.9 ถึง 4.7 นิ้ว) ตามลำดับ ป้อมปืนหลักได้รับการปกป้องด้วยเกราะหนา 360 มม. (14.2 นิ้ว) บริเวณด้านหน้า และหนา 220 มม. (8.7 นิ้ว) บริเวณด้านข้าง
เรือบิสมาร์คมีแผนเดินทางกลับคีลในวันที่ 24 มกราคม ค.ศ. 1941 แต่มีเรือสินค้าอับปางในคลองคีลส่งผลให้ใช้ทางน้ำไม่ได้ สภาพอากาศที่เลวร้ายได้ขัดขวางการกู้ซากเรือที่จมลง เรือบิสมาร์คจึงเดินทางกลับคีลไม่ได้จนกระทั่งเดือนมีนาคม ความล่าช้าสร้างความผิดหวังให้แก่ลินเดอมันเป็นอย่างมาก เขากล่าวว่า “เรือบิสมาร์คติดอยู่ที่ฮัมบวร์คถึงห้าสัปดาห์… เวลาอันมีค่าที่จะล่องเรือในทะเลสูญเสียไปด้วยเหตุที่ไม่ได้ก่อขึ้น และเป็นความล่าช้าอย่างมีนัยยะในการเคลื่อนกำลังในขั้นสุดท้ายด้วยเหตุซึ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้” ขณะที่รอให้เดินทางไปถึงคีล เรือบิสมาร์คเป็นที่รับรองเรือเอกแอนเดอร์ ฟอร์เชลล์ (Anders Forshell) ผู้ช่วยทูตกองทัพเรือสวีเดนไปยังเบอร์ลิน เขากลับไปยังสวีเดนพร้อมรายละเอียดลักษณะของเรือ และได้เผยความลับนี้กับอังกฤษ โดยทหารที่สนับสนุนอักฤษในกองทัพเรือสวีเดน ข้อมูลถูกจัดเตรียมไว้ให้ราชนาวีอังกฤษกับรายละเอียดแรกทั้งหมดของเรือ แม้ว่าจะขาดลักษณะจำเพาะที่สำคัญ ซึ่งประกอบด้วยความเร็วสูงสุด, ระยะทำการ, และระวางขับน้ำ
วันที่ 6 มีนาคม เรือบิสมาร์คได้รับคำสั่งแล่นเรือไปคีล โดยมีเครื่องบินรบเม็สเซอร์ชมิท เบเอ็ฟ 109 จำนวนหลายลำ และเรือสินค้าติดอาวุธจำนวน 2 ลำทำหน้าที่คุ้มกันระหว่างเส้นทาง พร้อมเรือตัดน้ำแข็ง เมื่อเวลา 08:45 น. วันที่ 8 มีนาคม เรือบิสมาร์คได้เกยตื้นที่ชายฝั่งด้านใต้ของคลองคีลเป็นเวลาสั้นๆ แม้ว่าจะหลุดออกมาใต้ภายในหนึ่งชั่วโมง เรือเดินทางถึงคีลในวันถัดมา ลูกเรือได้ทำการกักตุนอาวุธยุทธภัณฑ์ เชื้อเพลิง และเสบียงอื่นๆ และดำเนินการพรางเรือด้วยลายพรางแบบแดซเซิล (dazzle paint) วันที่ 12 มีนาคม เครื่องบินทิ้งระเบิดของอังกฤษได้เข้าโจมตีท่าเรือแต่ไม่ประสบผลสำเร็จ วันที่ 17 มีนาคม เรือประจัญบานเก่า เรือหลวงชเลซีน (SMS Schlesien) ซึ่งปัจจุบันดัดแปลงเป็นเรือตัดน้ำแข็ง คุ้มกันฝ่าน้ำแข็งไปถึงเมืองโกเทินฮาเฟิน เพื่อฝึกความพร้อมในการรบ
กองบัญชาการใหญ่กองทัพเรือเยอรมัน (OKM) ซึ่งบัญชาการโดยพลเรือเอกเอริช เรเดอร์ มีเป้าหมายที่จะคงภารกิจที่ใช้เรือขนาดหนักโจมตีเส้นทางการค้าของฝ่ายสัมพันธมิตรในมหาสมุทรแอตแลนติกต่อไป เรือประจัญบานชั้นชาร์นฮอสท์ (Scharnhorst) สองลำที่ประจำอยู่ที่เมืองแบร็สต์ (Brest) ประเทศฝรั่งเศส เป็นหัวหอกหลักในการโจมตีในมหาสมุทรแอตแลนติก ซึ่งเวลานั้นปฏิบัติการเบอร์ลินเพิ่งจบลง เรือเทียร์พิตส์ซึ่งเรือพี่น้องของเรือบิสบาร์คถูกสร้างขึ้นอย่างรวดเร็ว เรือบิสมาร์คและเรือเทียร์พิตส์เข้าโจมตีเข้าไปในเขตศัตรูจากทะเลบอลติกและนัดพบกับเรือชั้นชาร์นฮอสท์ทั้งสองลำในแอตแลนติก ปฏิบัติการมีแผนเริ่มดำเนินการประมาณวันที่ 25 เมษายน ค.ศ. 1941 ในช่วงเดือนมืดซึ่งจะทำให้ปัจจัยแวดล้อมช่วยอำนวยประโยชน์
การจัดสร้างและติดตั้งอุปกรณ์บนเรือเทียร์พิตส์เสร็จสมบูรณ์ล่าช้ากว่าที่คาดการณ์ อย่างไรก็ตามเรือยังคงไม่ขึ้นระวางจนกระทั่งวันที่ 25 กุมภาพันธ์ และเรือยังไม่พร้อมเข้าทำการรบจนกระทั่งปลายปี ด้วยสถานการณ์ที่ซับซ้อน เรือประจัญบานกไนเซอเนา (Gneisenau) ได้รับความเสียหายจากตอร์ปิโดขณะอยู่ในแบร็สต์และจากระเบิดขณะอยู่ในอู่แห้ง เรือประจัญบานชาร์นฮอสท์ (Scharnhorst) ต้องการยกเครื่องหม้อไอน้ำเพื่อสนับสนุนปฏิบัติการเบอร์ลิน ระหว่างการยกเครื่อง คนงานพบว่าหม้อไอน้ำมีสภาพเลวร้ายกว่าที่คาด เรือต้องถอนตัวจากแผนการโจมตี การโจมตีของเครื่องบินทิ้งระเบิดที่คลังสรรพาวุธในคีลทำให้เกิดความล่าช้าในการซ่อมแซมเรือลาดตระเวนหนักพลเรือเอกเชียร์ (Scheer) และพลเรือเอกฮิพเพอร์ (Hipper) เรือทั้งสองไม่พร้อมที่จะปฏิบัติการไปจนถึงเดือนกรกฎาคมหรือสิงหาคม พลเรือเอกกึนเธอร์ ลึทเจนต์ นายทหารซึ่งได้รับเลือกเป็นผู้นำปฏิบัติการ ปรารถนาถ้ายืดเวลาปฏิบัติการออกไปอีกอย่างน้อยจนกว่าเรือชาร์นฮอสท์หรือเรือเทียร์พิตส์จะพร้อม แต่กองบัญชาการสูงสุดกองทัพเรือตัดสินใจที่จะดำเนินการปฏิบัติการชื่อรหัส ปฏิบัติการไรน์อือบุง ต่อไป ซึ่งกองเรือประกอบด้วยบิสมาร์คและเรือลาดตระเวนหนักพรินซ์ออยเกิน (Prinz Eugen) เท่านั้น
เวลาประมาณ 05:30 น. ของวันเสาร์ที่ 24 พฤษภาคม กองเรือเยอรมันได้เดินทางมาถึงช่องแคบเดนมาร์ก ไฮโดรโฟนของเรือพรินซ์ออยเกินตรวจพบเรือสองลำทางกราบซ้าย เวลา 05:45 น. เรือทั้งคู่ก็ปรากฏในระยะสายตาแต่ทางเยอรมันยังไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นข้าศึก ฝ่ายอังกฤษประกอบไปด้วยเรือประจัญบานลำใหม่ ปรินส์ออฟเวลส์และเรือหลวงฮูดลำเก่า ภายใต้การบัญชาการของพลเรือตรีลานเซลอต ฮอลแลนด์ (Lancelot Holland) เรือพรินซ์ออฟเวลส์นั้นเพื่อต่อเสร็จเมื่อเร็วๆนี้และยังเพิ่งเริ่มออกทะเล (ขณะเผชิญหน้ากับบิสมาร์คนั้นมีลูกเรือเพียง 100 นายบนเรือและอยู่ในสภาพไม่พร้อม) เรือฮูดเก่านั้นถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นเรือลาดตระเวนประจัญบานก่อนที่จะมีการปรับปรุงการป้องกันของเรือให้เป็นเรือประจัญบานแต่ยังคงมีเกราะดาดฟ้าที่ค่อนข้างอ่อนแอ เยอรมันไม่แปลกใจที่ได้พบกับเรือฝ่ายอังกฤษแต่คิดไม่ถึงว่าจะเป็นเรือหลวงของอังกฤษเลย
เมื่อเวลา 05.49 น. ฮอลแลนด์ได้รับคำสั่งให้ยิงตรงไปที่เรือข้าศึกที่แล่นนำหน้ามา พรินซ์ออยเกิน ด้วยเข้าใจผิดว่าเป็นบิสมาร์ค แต่โชคยังเป็นของอังกฤษ เมื่อผู้บังคับการเรือปรินส์ออฟเวลส์ได้สังเกตเห็นถึงความผิดพลาดและทำการเปลี่ยนเป้าหมาย ฮอลแลนด์ได้รับคำสั่งแก้ไขเป้าหมายแต่คำสั่งนั้นกลับไปไม่ถึงพลปืนของฮูดก่อนที่จะได้ยิงตับแรกออกไป ฮูดได้ยิงกระสุนนัดแรกในยุทธนาวีเมื่อเวลา 05.52 น.ในเวลารุ่งอรุณ และตามติดด้วยพรินซ์ออฟเวลส์ ระยะห่างจากเรือฝ่ายเยอรมันในตอนนั้นประมาณ 12.5 ไมล์ (20.1 กม.) การยิงตับแรกของฮูด กระสุนตกใกล้กับพรินซ์ออยเกิน ทำให้เกิดความเสียหายเล็กน้อยใกล้กับป้อมปืนท้าย
นานกว่า 2 นาทีที่ไม่มีการยิงตอบโต้จากกองเรือเยอรมัน ก่อนที่ผู้บังคับการเรือ ลินเดอมันน์ (Lindemann) จะสั่งให้ยิงตอบโต้ไปยังเรือธงของอังกฤษ ซึ่งก็คือเรือฮูดโดยเยอรมันสามารถระบุบได้เมื่อกองเรือรบอังกฤษได้ทำการเปลี่ยนทิศทางไปยังเรือฮูดเมื่อเวลา 05.55 น. กลยุทธ์นี้จะใช้เมื่อเรือพยายามจัดวางตำแหน่งของตนเองให้อยู่ในโซนคุ้มกัน เมื่ออยู่ในโซนดังกล่าวแล้วเรือจะสามารถยิงมุมสูงได้ (ยิงทำลายดาดฟ้าเรือ) และการยิงตรงของเรือศัตรูจะไม่ค่อยได้ผล แต่เมื่อพิจารณาแล้ว ฮูดก็ยังคงมีจุดอ่อนเล็กน้อยและการควบคุมการยิงของเยอรมันยังเหนือกว่านิดหน่อย นอกจากนี้ยังมีข้อเสียคือ ในระหว่างการแล่นเรือปืนใหญ่ 8 กระบอกจาก 18 กระบอกไม่สามารถยิงสนับสนุนได้